FLR349 สู่แพลตฟอร์มจัดการเศรษฐกิจสีเขียว
31 ตุลาคม 2562 : โดยประกายดาว แบ่งสันเทียะ 397 จากกองทุน FLR349 ช่วยเหลือเกษตรดูแลรักษาป่าแทนพืชเชิงเดี่ยว ก้าวเข้าสูู่ธุรกิจเพื่อสังคม ที่มีแพลตฟอร์มบริหารจัดการผลผลิต พร้อมมีรบบประเมินผลสิ่งแวดล้อมอย่างรูปธรรมเพื่อเชื่อมต่อกับงบ CSR จากองค์กรธุรกิจเพื่อเศรษฐกิจสีเขียว
วิกฤติป่าเสี่อมโทรมพื้นที่สีเขียวดูกทำลายเป็นปัญหาครอบคลุมกว่า 7 ล้านไร่ในพื้นที่ภาคเหนือ ที่หลายองค์ตะหนักว่าธุรกิจและชุมชน ประเทศเติบโตไปเช่นนี้ โดยเพิกเฉยต่อภัยด้านสิ่งแวดล้อมที่ไม่นานก็จะย้อนกลับมาเป็นปัญหาของภาคธุรกิจและสังคมหลายหน่วยงานจึงช่วยกันค้นหาโมเดลที่ยั่งยืน ปลดล็อกปัญหาหนี้สินชุมชนคู่กับเศรษฐกิจสีเขียวได้
โมเดลกองทุนฟื้นฟูป่าและอาหารยั่งยืน หรือ "FLR349" ที่น้อมนำศาสตร์พระราชาของการปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง เพื่อสร้างห่วงโซ่อาหาร พืชเศรษฐกิจสร้างรายได้มีอาชีพมั่นคง คู่กับการดูแลรักษาป่าต้นน้ำ ทางเลือกโมเดลนำร่องนำเสนอให้ชาวบ้านปรับเปลี่ยนทัศนคติที่เคยชินกับการปลูกพืชเชิงเดี่ยวมาสู่ดูแลต้นไม้ ปลูกพืชอาหารและหารายได้ ถือเป็นแสงสว่างที่ปล่ยอุโมงค์ที่เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาป่าต้นน้ำเสื่อมโทรมอย่างครบวงจรปลดล็อกปัญหาในทุกมิติ ด้วยการสร้างการมีส่วนร่วม ให้ชุมชนมีบทบาทดูแลรักษาป่า
จึงเกิดเป็นความร่วมมือพาคีเครือข่ายระหว่างองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล สำนักงานประเทศไทย WWF มูลนิธินวัตกรรมเกษตรอินทรีย์ไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร มหาวิทยาลัยเทีคโนโลยี่ราชมงคลล้านนนาสร้างความร่วมมือห่วงโซ่คุณค่าร่วมกับภาคธุรกิจและภาคประชาสังคม รวมถึงชุมชน ร่วมกันนำโมเดล FLR349 สร้างเครือข่ายสนับสนุน โดยเริ่มดำเนินโครงการมาตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.2561 ที่ผ่านมาบนพื้นที่นำร่องโครงการ อ.แม่แจ่ม มีเกษตรกรเข้าร่วม 67 ครัวเรือน บนพื้นที่ 198 ไร่ ขยายพื้นที่เกษตรอินทรีย์แทนที่พืชเชิงเดี่ยว จนปัจจุบันมีการขยายเครือข่ายเข้าร่วมมากขึ้น
รัฐภัทร์ ศรีจันทร์กลัด เลขาธิการกองทุน FLR349 เปิดเผยว่าแนวทางกองทุน FLR349 ยืนอยู่บนหลักการที่จะทดำงานสร้างเครือข่าย รักษาป่าด้วยการส่งเสริมการสร้างงานสร้างอาชีพให้ชุมชน ได้อยู่ร่วมกับป่าได้ โดยการตั้งกองทุนเข้าไปให้ความรู้การดุแลป่าภายใต้ศาสตร์พระราชาพร้อมกันตั้งกองทุนสนับสนุนการดูแลรักษาป่าให้ชาวบ้าน 2,000 บาทต่อไร่ ไม่เกินครอบครัวละ 5 ไร่ หรือเฉลี่ยปีละ 10,000 บาทต่อครอบครัว โดยมีการสนับสนุนต่อเนื่อง 6 ปี นำร่องไปแล้วในหมู่บ้านบ้านแม่ขี้มูก ตำบลบ้านทับ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดชียงใหม่ โดยมีการสนับสนุนจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ตั้งกองทุนการดำเนินงานให้กับครอบครัวนำร่อง 7 ครอบครัว พื้นที่ 35 ไร่ มีการขยายพื้นที่สร้างเครือข่ายส่งเสริมการปลูกผักอินทรีย์ ส่งให้กับโรงเรียนและโรงพยาบาล
หลักการของกองทุน FLR349 ได้น้อมนำศาสตร์พระราชามาเป้นต้นแบบในการใช้ชีวิตตามรอยเศรษฐกิจพอเพียง โดยมุ่งเน้นการพึ่งพาต้ัวเองได้เมื่อปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่างมีอาหาร มีการขับเคลื่อนเศษฐกิจ สร้างรายได้เมื่อผลผลิตดีขึ้นในระยะยาวก็ขายได้ มีต้นชีวิตไม่ติดลบ ขณะที่อาชีพเดิมของชุมชน ปลูกข้าวโพค แต่ต้นทุนติดลบ ต้องซื้ออาหารกินและรายได้ไม่เพียงพอกับต้นทุน ทั้งปุ๋ย พื้นที่เพาะปลูก มีต้นทุนชีวิตและทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ต้องจ่ายไม่ต่ำกว่า 2 แสนบาทต่อไร่ เขายืนยันถึงผลเสียของการปลูกพืชเชิงเดี่ยวมีต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมมากกว่าที่คิด
ปัจจุบันกองทุน FLR349 ขึ้นสู่ปีที่ 2 มีการขยายพื้นที่ได้กว่างขึ้นเพื่อเป้าหมายเพิ่ม 1,600 ครอบครัว พื้นที่ 16,000 ไร่ โดยมีเป้าหมายที่จะเปลี่จยนพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพคกว่า 50,000 ไร่เป็นการปลูกพืชอินทรีย์ ภายใต้ศาสตร์พระราชา ต.บ้านทับ ภายใน 10 ปี เพื่อเป็นต้นแบบโมเดลความสำเร็จของการฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรมไปทั่วพื้นที่ภาคเหนือกว่า 7 ล้านไร่ โครงการมีการขยายวง ซึ่งเพิ่มเครือข่ายภาคธุรกิจเริ่มเข้ามาให้ความสนใจอาทิ ไทยเบฟเวอเรจ เซ็นทรัล อีกทั้งยังมีแผนระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อยู่ระหว่างพัฒนาแพลตฟอร์มการดำเนินงานตลอดจนจัดตั้งเป็นบริษัทวิสาหกิจชุมชนเพื่อมีการบริหารจัดการรับซื้อและการะจายผลผลิตจากชุมชนที่จะมีการนำเทคโนโลยี่มาใช้มีการวางระบบเปิดตัวการจัดการวัตุดิบเชื่อมต่อกับภาคธุรกิจที่จะเข้ามารับซื้อ รวมถึงการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ที่จะมีการเปิดตัวแพลตฟอร์มในต้นเดือนหน้า พ.ย.2562)
"พอเริ่มเซ็ทระบบแล้วเริ่มโรดโชว์กลุ่มธุรกิจตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะเชื่อว่าภาคธุรกิจเห็นทิทางเดียวกั ที่ผ่านมาหลายองค์การใช้งบประมาณด้านความรับผิดชอบต่อส่งคม (CSR) ที่อยู่ในรูปของการจัดอีเวนท์ครั้งเดียวมากว่าการติดตามแบบเข้าเชื่อมต่อพัฒนาพื้นที่อย่างยั้งยืน หลายองค์กรมีงบปลูกป่าเหมือนกันรวมกันแต่ละองค์กรปีละไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านบาทแต่กลับไม่ได้เพิ่มพื้นที่ป่า แต่โครงการนี้ หากมีการสนับสนุนจะเห็นการตรวจสอบต้นไม้ ป่า รวมถึงผลการดำเนินงานที่มีการตรวจสอบย้อนหลังได้ชัดเจน จึงเป็นแรงจูงใจให้ภาคเอกชนสนใจเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกองทุน"
โดยในพื้นที่นำร่องจังหวัดเชียงใหม่และนำน ในปีนี้มีความคืบหน้าเริ่มปลูกต้นไม้ไปแล้ว 83,500 ต้น มีพืช 17 ชนิด หรือ ป่า 3 อย่าง คือ ไม้ใช้สอย ไม้ก่อสร้าง และไม้กินได้ ซึ่งจะได้สร้างประโยชน์ 4 อย่าง คือ พออยู่ พอกิน พอใช้ และพอร่มเย็น หรือ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ นำไปใช้เป็นโมเดลฟื้นฟูดินสร้างป่า
ในขั้นตอน ซึ่งเราต้องระดมทุนจำนวนมากในการฟื้นแก้ไขปัญหาป่าต้นน้ำเสื่อมโทรมในพื้นที่เป้าหมายเพิ่มต้นจากพื้นที่ต้นแบบ 50,000 ไร่และสร้างผลกระทบเชิงบวกทำให้พื้นที่อื่นๆ เรียนรู้โมเดลและนำไปปรับใช้ในพื้นที่เพื่อสร้างผลกระlทบเชิงบวกให้กับโลก "นายรัฐภัทร์ ศรีจันทร์กลัด เลขาธิการกองทุน FLR349 กล่าว
พลาย ภิรมย์ ผู้จัดการโครงการ WWF-Thailand กล่าวว่า การสร้างเครือข่ายกองทุน FLR349 ยังถือเป็นการยกระดับการพัฒนาธุรกิจเพื่อสังคม ที่จะนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาปรับปรุง การประเมินและวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้เกิดความโปร่งใสให้พาคีเครือข่ายได้ติดตาม ตั้งแต่จำนวนต้นไม่้ การดูแลรักษาป่า การเจรริญเติบโตของต้นไม้ การวัดผลในการสร้างรายได้และมูลค่าทางเศรษฐกอจ รวมไปถึงอัตราการดูดซับคาร์บอน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะปรากฎชัดเจนบนแพลตฟอร์ม ซึ่งลงทุนระบบมูลค่า 6 ล้านบาท เพื่อเป็นการสร้างเกณฑ์มาตรฐานที่มีการรายงานผลอย่างชัดเจน
"โมเดลกองทุน FLR349 ตั้งเป้าหมายในการฟื้นฟูป่าต้นน้ำ 50,000 ไร่ ภายในระยะเวลา 10 ปี ส่งเสริมให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิต ความเป็นอยู่และรายได้ที่มากขึ้น 40 % จากเดิม ผ่านการทำเกษตรอินทรีย์ สร้างพื้นที่สีเขียวด้วยการปลูกไม้ผล และไม้ยืนต้น พร้อมพัฒนาห่วงโซ่อุปทานอาหารที่ยั่งยืนและระบบตรวจสอบย้อนกลับ นอกจากนี้ยังเป็นการแก้ปัญหาและการสร้างกภูมิคุ้มกันจากการเปลี่ยนแปลงสถาพภูมิอากาศในภาคการเกษตรที่มีความจำเป็นและเร่งด่วนที่สุดอีกต้วย"
พิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด กล่าวว่า กลุ่มเซ็นทรัล มีเจตนารมณ์และมีความภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างงาน สร้างคุณภาพชีวิตและสร้างสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน ซึ่งโครงการกองทุนฟื้นฟูภูมิทัศน์ป่าและอาหารยั่งยืน (FLR349 Fund) เป็นอีกหนึ่งในโครงการที่ภาคธุรกิจให้ความสนใจในการมีส่วนร่วมขับเคลื่อนการฟื้นคืนป่าต้นน้ำให้กลับมาอุดมสมบูรณ์และสร้างการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงมากขึ้น